สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้าฉบับแรกกับอังกฤษแล้ว

เมื่อวานนี้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับอังกฤษเป็นประเทศแรก โดยอังกฤษจะเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น เช่นเนื้อวัวและเอทานอล พร้อมลดกำแพงภาษี ขณะที่สหรัฐฯ ก็มีการอนุญาตให้นำเข้ารถยนต์จากอังกฤษได้ปีละ 100,000 คัน โดยคิดอัตราค่าภาษี 10%
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สนทนาทางโทรศัพท์ข้ามประเทศ กับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ แห่งสหราชอาณาจักร โดยทั้งสองฝ่ายประกาศพร้อมกันว่า ได้บรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทรัมป์ระบุว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตกลงรายละเอียดขั้นสุดท้าย แต่เบื้องต้นเปิดเผยว่า สหราชอาณาจักรจะขยายการเปิดตลาดให้กับสินค้าที่นำเข้ามาจากสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงสินค้าประเภทเนื้อวัวและเอทานอลด้วย
ภาษีนำเข้า: สหรัฐฯ เก็บอังกฤษ 10% อังกฤษเก็บสหรัฐฯ 1.8%
ผู้นำทั้งสองต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า การบรรลุข้อตกลงในครั้งนี้ถือเป็นการบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าว สหรัฐฯ ยังคงการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอังกฤษในอัตรา 10% ขณะที่อังกฤษตกลงปรับลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ จาก 5.1% เหลือเพียง 1.8% พร้อมทั้งให้คำมั่นว่าจะเปิดตลาดและเพิ่มช่องทางการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น
หลังอังกฤษถอนตัวจาก EU เร่งสร้างสัมพันธ์การค้าใหม่กับทุกฝ่าย
นักวิเคราะห์ระบุว่า สาเหตุที่อังกฤษเป็นประเทศแรกที่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จนั้น เป็นเพราะอังกฤษเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีสถานะขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน หลังอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป รัฐบาลของสตาร์เมอร์ ก็ได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการผลักดันความร่วมมือทางการค้ารูปแบบใหม่กับประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐฯ และจีน
==Olivia O'Sullivan // นักวิเคราะห์จาก Chatham House สหราชอาณาจักร==
สหราชอาณาจักรยังคงอยู่ในภาวะ
ที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระดับสูง
แม้การบรรลุข้อตกลงระดับย่อยจะเป็นผลดี
แต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ยังคงส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจโลก
ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งสหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศทั่วโลก
สหรัฐฯ-จีนนัดเจรจาที่สวิตฯ รมว.คลังสหรัฐฯ: ลดอุณหภูมิความตึงเครียด
ส่วนสหรัฐฯ และจีน ซึ่งกำลังจะมีการเจรจาเกี่ยวกับปัญหาด้านภาษีศุลกากรและการค้าที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ระบุว่า การผ่อนคลายความตึงเครียดเป็นภารกิจหลัก ซึ่งจะเปิดทางให้สามารถบรรลุความคืบหน้าในขั้นต่อไปได้