สภานิติบัญญัติทบทวน MOU ของไต้หวันและอินเดีย
วันนี้สภานิติบัญญัติไต้หวันได้มีการพิจารณา MOU ความร่วมมือด้านแรงงานระหว่างไต้หวันกับอินเดียนะคะ โดยกระทรวงแรงงานย้ำว่า จะใช้กลไกสองรูปแบบคู่กันคือการจ้างตรงกับบริษัทจัดหางาน โดยการจ้างตรงจะลองผลักดันวิธีการใหม่ๆ ขณะเดียวกันเบื้องต้นจะเน้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตเป็นหลัก โดยจะทดลองดำเนินการขนาดเล็กไม่เกิน 1000 คน
ต้นเมษายนที่ผ่านมาไต้หวันและอินเดีย ลงนาม MOU ความร่วมมือด้านแรงงาน
ในวันที่ 26 มิถุนายน กรรมาธิการสาธารณสุขของสภานิติบัญญัติให้ความสนใจกับวิธีการนำเข้า และการเพิ่มการจ้างโดยตรง มีการจัดตั้ง one stop service หรือไม่?
==เฉิน จาว จือ // สส.พรรค TPP ==
หากใช้การจ้างงานโดยตรงระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล หรือ G ถึง G
ไต้หวันจะสนองแรงงานที่นายจ้างต้องการได้อย่างไร?
==เหอเพ่ยซัน // รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไต้หวัน==
อินเดียไม่มีระบบการจ้างตรง
เรียนท่าน สส. ว่า การจ้างตรงนี้
เมื่อเทียบกับการจ้างตรงในปัจจุบันที่ใช้อยู่ตอนนี้
ไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นนี่คือการลองสิ่งใหม่
MOU ไต้หวัน-อินเดีย จะเริ่มจากการทดลองนำเข้าไม่เกิน 1000 คน
สส. ซักถามเพิ่มเติมว่า เริ่มจากกิจการประเภทไหนบ้าง จำนวนเท่าใด กระทรวงแรงงาน ระบุเบื้องต้นไม่เกิน 1,000 คน
==เหอเพ่ยซัน // รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไต้หวัน==
เบื้องต้นเน้นไปที่อุตสาหกรรมการผลิต
ในช่วงแรกมีการทดลองนำเข้าจำนวนน้อยก่อน
ประมาณ 1,000 คน
แรงงานอินเดียต้องเก่งภาษาอังกฤษ และมีใบรับรองประวัติอาชญากรรม
แรงงานอินเดียเข้ามาจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงหรือไม่ กระทรวงแรงงาน ย้ำว่าแรงงานข้ามชาติที่มาไต้หวันจะต้องพูดภาษาอังกฤษได้ดีและมีใบรับรองประวัติอาชญากรรม
==ซูชิงฉวน // ส.ส. พรรค KMT==
สื่อต่างชาติมีการรายงานว่า ที่อินเดีย ทุก 15 นาที
ก็จะมีกรณีการล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้น 1 ครั้ง สิ่งนี้เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
==เหอเพ่ยซัน // รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไต้หวัน==
ทักษะภาษาอังกฤษของเขา
รวมถึงระดับทักษะฝีมือของเขา
ประกอบกับเขาต้องมีใบรับรองประวัติอาชญากรรม ฯลฯ
การตรวจสอบในด้านนี้ จำเป็นต้องตระเตรียม
เมื่อเข้ามาแล้ว ก็จะยังต้องฝึกอบรมด้านกฎหมายและทักษะต่างๆ ด้วย
ทดลองนำเข้าแรงงานอินเดียในภาคการผลิตก่อน
กระทรวงแรงงานเน้นย้ำว่าในอนาคตจะคำนึงถึงความต้องการของอุตสาหกรรมและความสามารถในการบริหารจัดการของนายจ้างด้วย โดยจะเน้นอุตสาหกรรมการผลิตเป็นหลักในช่วงแรก แต่จะขึ้นอยู่กับการปรับตัวด้วย หากไม่ปรับตัวก็อาจจะเหมือนกับการนำแรงงานต่างชาติชาวมองโกเลียในอดีต ที่ไม่มีการนำเข้าเลยหลังผ่านไป 5 ปี