หยุนหลินสั่งห้ามใช้เศษอาหารเลี้ยงหมูตั้งแต่ปี 62
การพบเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกรครั้งนี้ ทำให้การจัดการเศษอาหารกลับมาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอีกครั้ง ทางเทศบาลเมืองอี๋หลานประกาศว่าจะผลักดันการห้ามเลี้ยงหมูด้วยเศษอาหารอย่างเต็มรูปแบบ ขณะที่เมืองหยุนหลิน ซึ่งมีการห้ามมาตั้งแต่ 7 ปีก่อน โดยเศษอาหารในพื้นที่ ได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
จากเศษอาหารสู่ปุ๋ยออร์แกนิค นำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่
เศษอาหารเหล่านี้จะถูกส่งไปยังโรงงานแปรรูปขยะหนานหย่า (南亞堆肥廠) ผ่านกระบวนการ บด ทำให้แห้ง และนำไปหมัก เพียง 8 วันก็สามารถแปรสภาพเป็นปุ๋ยออร์แกนิค พร้อมจัดส่งให้สหกรณ์การเกษตรและชุมชนได้นำไปใช้ประโยชน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2562 เป็นต้นมา หยุนหลินมีคำสั่งห้ามไม่ให้ใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกร และนำเศษอาหารไปแปรสภาพเป็นปุ๋ยแล้วมากกว่า 77,000 ตัน ผลิตปุ๋ยออร์แกนิคแล้วมากกว่า 320,000 ถุง
==จางลี่ซ่าน//ผู้ว่าเมืองหยุนหลิน==
เทคโนโลยีนี้สามารถจัดการเศษอาหารสดและอาหารปรุงสุกได้
ผสมเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำครบทั้งกระบวนการ
ใช้เวลาประมาณ 8 วันก็เสร็จสิ้นกระบวนการ (แปรสภาพเศษอาหาร)
รัฐบาลกลางต้องแสดงความจริงจัง
ต้องป้องกันไม่ให้เศษอาหารเข้าฟาร์มหมูอย่างเด็ดขาด
==อู๋อิงจี๋//ประธานสมาคมฟาร์มสุกรหยุนหลิน==
ตอนนี้บอกว่าเจอเชื้อไวรัสทั้งหมดแล้ว แต่ใครจะเชื่อ
ถ้าไม่ระวังหลุดออกไปอีกและสุกรกินเข้าไป จะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
อี๋หลานประกาศห้ามใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกร ตามรอยหยุนหลิน
สมาคมฟาร์มสุกรยุนหลินเปิดเผยว่า หยุนหลินมีสุกรทั้งหมด 1.51 ล้านตัว รวมมูลค่ากว่า 25,000 ล้านเหรียญไต้หวัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของอหิวาต์แอฟริกาในสุกร หยุนหลินจึงมีคำสั่งห้ามใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 การระบาดครั้งนี้ทำให้ต้องมีคำสั่งห้ามชำแหละและเคลื่อนย้าย ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเลี้ยงสุกรเป็นอย่างมาก และไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นอีก ขณะที่อี๋หลานก็ได้มีการประกาศห้ามใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกรไปแล้วเมื่อวานนี้ (3 พ.ย.68)
อี๋หลานประกาศห้ามใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกร ป้องกัน ASF
เทศบาลเมืองอี๋หลานเผยว่า ต้นตอการระบาดของอหิวาต์แอฟริกาในสุกรขณะนี้น่าจะมาจากเศษอาหารเป็นหลัก ปัจจุบันอี๋หลานมีฟาร์มสุกรทั้งหมด 84 แห่ง ซึ่งใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกรเพียง 10 แห่งเท่านั้น เทศบาลจะพิจารณาออกคำสั่งห้ามใช้เศษอาหารเลี้ยงสุกรทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อให้อุตสาหกรรมเลี้ยงสุกรในอี๋หลานเป็นไปอย่างยั่งยืน
