สี จิ้นผิง รับปากทรัมป์ จีนจะไม่บุกไต้หวัน

แม้ว่าการประชุมระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และ สี จิ้นผิง ผู้นำจีน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะไม่ได้พูดถึงประเด็นไต้หวัน แต่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับ CBS ว่า สีจิ้นผิงให้คำมั่นว่า ปักกิ่งจะไม่ดำเนินการใดๆ ต่อไต้หวันในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง

รมว.กลาโหมสหรัฐโพสต์ ความสัมพันธ์สหรัฐ–จีน ไม่เคยดีเท่านี้มาก่อน

พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม “X” เผยว่าความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีนไม่เคยดีเท่านี้มาก่อน พร้อมยืนยันว่าได้บรรลุข้อตกลงทางทหารกับต่ง จวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจีน ทั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้มีการหารือประเด็นไต้หวันในการประชุมระหว่างทรัมป์กับสีจิ้นผิงที่เพิ่งเสร็จสิ้นลง แต่ทรัมป์ให้สัมภาษณ์เน้นย้ำว่า สีจิ้นผิง เคยให้คำมั่นว่าจะไม่โจมตีไต้หวันในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง

==พิธีกร Rosie O'Donnell vs. ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์==
พวกเขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
และเขา (สี จิ้นผิง) ก็เคยประกาศต่อสาธารณะ
รวมถึงคนของเขาก็ได้ยืนยันชัดเจนในที่ประชุมว่า
เราจะไม่ดำเนินมาตรการใด ๆ
ขณะที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
เพราะพวกเขารู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ทรัมป์เผย สี จิ้นผิงรู้ดี หากโจมตีไต้หวันผลลัพธ์เป็นอย่างไร

ทรัมป์เผยว่า ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่ง สี จิ้นผิงจะไม่โจมตีไต้หวัน และสี จิ้นผิงก็รู้ดีว่าหากโจมตีไต้หวันแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ขณะที่เกาซั่วไท่ (高碩泰)​ อดีตผู้แทนฯไต้หวันประจำสหรัฐฯวิเคราะห์ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนในปัจจุบันไม่เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างชาติมหาอำนาจในอดีต ทั้งสองที่เหมือนแข่งมาราธอนกันมานานหลายศตวรรษ บัดนี้หันหน้าลดความขัดแย้ง เมื่อวิเคราะห์แล้วเห็นว่า ทางออกที่ทำได้ตอนนี้คือแนวทางการลดความเสี่ยง

==เกาซั่วไท่// อดีตผู้แทนฯไต้หวันประจำสหรัฐฯ==
(สหรัฐฯและจีน) อาจร่วมมือกันเพื่อประโยชน์ของกันและกัน
จากที่ฟาดฟันกันมาแต่ไหนแต่ไร
เข้าสู่โหมด new cold peace
ด้วยสถานการณ์ทั้งในรูปธรรมและนามธรรมในปัจจุบัน
ตัวผมเองมองว่า (ไต้หวัน) ไม่ควรกำหนดข้อจำกัดต่อตัวเองมากเกินไป
แต่ควรกล้าแสดงจุดยืนของตัวเองในสถานการณ์รูปแบบใหม่เช่นนี้

สหรัฐฯ-จีนส่งเสริมการเจรจา ลดข้อพิพาทอันนำไปสู่ความขัดแย้ง

ทั้งนี้ สหรัฐฯ และจีนมีแนวโน้มที่จะเสริมสร้างกลไกการสื่อสารระหว่างกัน เพื่อลดความเสี่ยงจากความเข้าใจผิด ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในภูมิภาคอินโด–แปซิฟิก ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศไต้หวันระบุว่าจะติดตามความเคลื่อนไหวของปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้นำระดับสูงของสหรัฐฯและจีนอย่างใกล้ชิดต่อไป