สัดส่วนการใช้ยานอนหลับวัยรุ่นไต้หวันเพิ่มขึ้น 2 เท่าในรอบ 4 ปี

สถาบันวิจัยสาธารณสุขแห่งชาติไต้หวัน (NHRI) พบว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา อัตราการใช้ยานอนหลับในกลุ่มเยาวชนไต้หวันเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จาก 0.42% เป็น 0.80% ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า นอกจากนี้ ยังพบว่า อัตราการใช้ยานอนหลับที่ไม่ใช่เพื่อการรักษาทางการแพทย์ในกลุ่มเยาวชนสูงกว่าผู้ใหญ่ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การใช้ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์ เป็นปัจจัยที่ทำให้เยาวชนนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่การพึ่งพายานอนหลับในระยะยาวได้
ดึกแล้ว แต่กลับนอนไม่หลับ เป็นปัญหาที่พบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นสมัยนี้ ข้อมูลการสำรวจล่าสุด จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขแห่งชาติไต้หวัน (National Health Research Institutes, NHRI) พบว่า สัดส่วนการใช้ยานอนหลับของกลุ่มวัยรุ่นในช่วงสี่ปี เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 0.42% เป็น 0.80% ผู้เชี่ยวชาญมองว่า สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงของวัยรุ่นยุคปัจจุบัน
==เฉินเหวยเจียน // รองผู้อำนวยการ สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติไต้หวัน==
การใช้ผลิตภัณฑ์ 3C ในยุคปัจจุบันแพร่หลายมากขึ้น
ซึ่งเข้าใจได้ว่า มีวัยรุ่นจำนวนมาก
ที่ใช้อุปกรณ์เหล่านี้จนดึกดื่น
วัยรุ่นใช้ยานอนหลับที่ไม่ใช่ทางการแพทย์เพิ่มขึ้น เสี่ยงติดยา
สิ่งที่น่าสังเกตคือ สัดส่วนการใช้ยานอนหลับที่ไม่ได้ใช้เพื่อการแพทย์ในกลุ่มวัยรุ่นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งอาจได้มาจากเพื่อนหรือไม่ได้ใช้ตามคำสั่งแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า เด็กยุคนี้ใช้ผลิตภัณฑ์ 3C อย่างแพร่หลาย จนทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ อาจเสี่ยงพึ่งพายา และการใช้ยาในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ไม่เพียงส่งผลต่อพัฒนาการสมองและการเรียนรู้ แต่ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ติดยาอีกด้วย
==เฉินเหวยเจียน // รองผู้อำนวยการ สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติไต้หวัน==
พวกเขายังอาจใช้สารเสพติดชนิดอื่น ๆ ด้วย
เช่น แอลกอฮอล์หรือบุหรี่
สตรีวัยกลางคนมีความเสี่ยงสูง สะท้อนแรงกดดันในชีวิต
ปัญหาการใช้ยานอนหลับไม่ได้จำกัดแค่ในกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น ผู้หญิงวัยกลางคนก็เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า การพึ่งพายานอนหลับ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลที่เกิดจากแรงกดดันในชีวิต สังคมควรให้การสนับสนุนทางจิตใจและทรัพยากรทางการแพทย์ที่ครบถ้วน เพื่อลดความเสี่ยงการใช้ยาในทางที่ผิด