แฉปัญหาสิทธิมนุษยชนในเรือประมงไต้หวันที่ส่งปลาทูน่าไปญี่ปุ่น

วันนี้องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้เผยแพร่รายงานฉบับหนึ่ง เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนที่ไม่โปร่งใสของไต้หวันในการทำประมงระยะไกลเพื่อจับปลาทูน่าส่งไปขายในตลาดญี่ปุ่น โดยรายงานระบุว่า แรงประมงต่างชาติถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และค้างจ่ายค่าจ้าง จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไต้หวันและญี่ปุ่นออกนโยบายคุ้มครองแรงงานประมงเหล่านี้
ลูกเรืออินโดฯ ร้อง ถูกยึดพาสปอร์ต เบี้ยวเงินเดือนเกินครึ่งปี
กลุ่มสิทธิมนุษยชน ร่วมกันถือรายงานการสอบสวน ซึ่งใช้เวลารวบรวมนานถึง 2 ปี เพื่อเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า อุตสาหกรรมประมงส่งออกปลาทูน่าไปยังญี่ปุ่นของไต้หวัน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยลูกเรือประมงที่ถูกจ้างโดยบริษัทไต้หวัน ถูกนายจ้างยึดหนังสือเดินทาง และค้างค่าจ้างเกินครึ่งปี
==Astanu // ลูกเรือชาวอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับคดีเรือประมงโหย่วฟู่==
ตอนอยู่ที่รัฐเอกราชซามัว
ผมไม่สามารถถือหนังสือเดินทางของตัวเองได้
หนังสือเดินทางและเอกสารของทุกคน
ถูกกัปตันกับนายจ้างเก็บเอาไว้หมด
ลูกเรืออินโดฯ ร้อง ถูกยึดพาสปอร์ต เบี้ยวเงินเดือนเกินครึ่งปี
ลูกเรือประมงออกมาเล่าประสบการณ์ หวังให้รัฐบาลไต้หวันและญี่ปุ่นได้รับรู้ถึงความทุกข์ทรมานในอดีตที่พวกเขาเคยเจอ
==Ryutaro Ogawa // ทนายความและผู้อำนวยการขององค์กร Human Rights Now==
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่รัฐบาลไต้หวันกับญี่ปุ่นต้องร่วมมือกันแก้ไขเท่านั้น
ผมคิดว่าบริษัททั้งสองฝ่าย
รวมถึงพวกเราในฐานะผู้บริโภคและแรงงาน
ควรร่วมกันแก้ไขปัญหานี้
กลุ่มแรงงาน : เลิก 2 มาตรฐาน บังคับให้อยู่ใต้กฎหมายแรงงานอย่างเท่าเทียม!
กลุ่มสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้รวมแรงงานประมงต่างชาติไว้ภายใต้กฎหมายแรงงานด้วย เพื่อให้แรงงานกลุ่มนี้ได้รับสิทธิและการคุ้มครองเหมือนแรงงานทั่วไป และกำหนดมาตรการแก้ปัญหาการค้างค่าจ้างอย่างจริงจัง
==ซืออี้เสียง // นักวิจัยอาวุโส สมาคมส่งเสริมสิทธิมนุษยชนไต้หวัน==
รวมถึงการประเมินความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน
การประเมินซัพพลายเออร์
และการประเมินด้านสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างชาติด้วย
กรมประมงจ่อใช้มาตรการ "กันเงินสำรองค่าจ้างตามความเสี่ยงไว้ในบัญชีพิเศษ"
กรมประมงภายใต้กระทรวงเกษตรไต้หวันระบุว่า ในอนาคต ผู้ประกอบการที่ทำประมงในทะเลระยะไกล จะต้องจัดสรรเงินสำรองค่าจ้างตามระดับความเสี่ยงไว้ในบัญชีพิเศษ หากไม่ปฏิบัติตาม จะไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการ คาดเริ่มบังคับใช้ปีหน้า