ห้องฉุกเฉินไต้หวันแออัด หวั่นบุคลากรทางการแพทย์ลาออกครั้งใหญ่

สวัสดีค่ะขอต้อนรับเข้าสู่ PTS โฟกัสไต้หวัน ประจำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ กับดิฉัน อัญชัน ทรงพุทธิ์ คุณผู้ชมคะในระยะนี้แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทุกแห่งแออัดไปด้วยผู้ป่วย สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งไต้หวัน ออกมาเตือนว่า ความแออัดของผู้ป่วยในแผนกฉุกเฉินรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน หากไม่มีการแก้ไขอาจส่งผลให้เกิดกระแสลาออกครั้งใหญ่ของแพทย์และพยาบาล ด้านกระทรวงสาธารณสุขฯ เผยจะเร่งจัดประชุมหารือแนวทางการแก้ไข

ห้องฉุกเฉินแออัด พยาบาลเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจเร่งแก้ไขปัญหา

สถานการณ์เตียงผู้ป่วยห้องฉุกเฉินของไต้หวันอยู่ในภาวะวิกฤต โดยพยาบาลรายหนึ่งได้โพสต์บนโซเชียล เตือนประชาชนให้ดูแลสุขภาพ เพราะแม้แต่ผู้ป่วยวิกฤตที่มีเส้นสายยังเข้ารับการรักษาไม่ได้ พร้อมเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนเตียงและบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งนี้ เมื่อคืนวันที่ 22 กุมภาพันธ์ สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินไต้หวันได้ออกแถลงการณ์ เน้นย้ำถึงปัญหาความแออัดในห้องฉุกเฉินและผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข

==นายแพทย์หลี่จื้อห่วง//เลขาธิการสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินไต้หวัน==
ห้องไอซียูเต็ม
ขนาดผู้ป่วยที่ต้องเข้าห้องไอซียู
ยังต้องอยู่ในห้องฉุกเฉินเพื่อรอ1-2 วันจนถึง 3-5 วัน
และอาจจะยังเป็นแบบนี้ไปจนถึงหน้าร้อน
ซึ่งสถานการณ์ไม่น่าจะดีขึ้นในเร็วๆ นี้

ห้องฉุกเฉินแออัด สาเหตุจากเตียงผู้ป่วยไม่พอและการจัดสรรขาดสมดุล

สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินไต้หวันระบุว่า สาเหตุหลักของความแออัดในห้องฉุกเฉินคือการขาดแคลนเตียงผู้ป่วยและการจัดสรรไม่สมดุล โดยแนะนำการแก้ไขปัญหาในระยะสั้น ให้เพิ่มอัตราการรับผู้ป่วยฉุกเฉินและเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์ ส่วนในระยะยาว ควรพัฒนาระบบการจัดการภาวะฉุกเฉิน ปรับค่าบริการประกันสุขภาพ และส่งเสริมทางเลือกการรักษานอกห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาล

==จี้สูจิ้ง//ประธานสมาคมพยาบาลแห่งชาติ==
ในห้องฉุกเฉินไม่มีการกำหนดสัดส่วนพยาบาลต่อผู้ป่วย
ดังนั้นถ้า สมมุติว่า ฉันต้องอยู่สังเกตอาการ
นานเกินกว่าปริมาณงานของบุคลากร
ก็จะทำให้ภาระงานเพิ่มขึ้นเยอะมาก

==เซียวสูไต้//ประธานสมาคมพยาบาลกรุงไทเป==
การเปิดช่องทางเพิ่มเติมในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้
แต่มันไม่ใช่วิธีสำหรับแก้ไขในกรณีฉุกเฉิน

วอนแบ่งระดับการรักษา กำหนดแนวปฏิบัติในการรักษาและส่งต่อผู้ป่วย

เพื่อหลีกเลี่ยงความแออัดในห้องฉุกเฉิน นอกจากการรักษาแบบแบ่งตามระดับความรุนแรงแล้ว สมาคมพยาบาลระบุว่า ในแต่ละปีพยาบาลที่เข้ามาทำงานในแนวหน้าเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง การเสริมบุคลากรและกำหนดแนวปฏิบัติในการรักษาและการส่งต่อผู้ป่วยที่ชัดเจน ล้วนเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา