อดอาหารจนเสียชีวิต เป็นที่ถกเถียง สธ.ชี้ ไม่ใช้วิธีทางการแพทย์
แพทย์หญิงทนเห็นแม่ป่วยมานาน ตัดสินใจให้อดอาหารจากโลก
จากกรณีแพทย์หญิงปี้หลิวอิง (畢柳鶯) แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู ประจำโรงพยาบาลไทจง สังกัดกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวัน ทนไม่ได้ที่เห็นมารดาป่วยด้วยภาวะสมองฝ่อมาเป็นระยะเวลานาน จึงตัดสินให้มารดาวัย 83 ปี ทำการอดอาหารจนเสียชีวิตนั้น ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมอย่างมาก โดยเธอได้รณรงค์แนวคิดนี้มาตั้งแต่หลายปีก่อน เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยติดเตียงเป็นเวลานานให้ร่างกายค่อยๆ เสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติและบรรลุเป้าหมายการจากไปอย่างสงบผ่านการอดอาหาร
วงการแพทย์คัดค้าน "ถูกบังคับอดอาหาร" ไม่เป็นตามจรรยาบรรณ
อย่างไรก็ตาม วงการการแพทย์อีกฝ่ายเห็นว่า ผู้ป่วยเหล่านี้ “ถูกทำให้ต้องอดอาหาร” ซึ่งไม่สอดคล้องกับจรรยาบรรณแพทย์ ขณะที่แพทย์หญิงปี้หลิวอิง ระบุว่า แม้กฎหมายปัจจุบันจะมีการดูแลแบบประคับประคอง แต่ในทางปฏิบัติแพทย์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมถอดท่อช่วยชีวิต ตลอด 45 ปีของการเป็นแพทย์ เธอได้เห็นผู้ป่วยจำนวนมากต้องทนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียง โดยมีท่อต่างๆ เสียบไว้มากมาย ซึ่งนั่นเป็นการยืดความเจ็บปวดด้วยการรักษาที่ไร้ประสิทธิผล เมื่อญาติทนเห็นไม่ได้ จึงยื่นคำร้องให้ผู้ป่วยจากไปด้วยการอดอาหาร ดังนั้นเธอจึงเห็นว่า ทั้งในเชิงอารมณ์และเหตุผล การปล่อยให้เสียชีวิตตามธรรมชาติย่อมสอดคล้องกับหลักมนุษยธรรมมากกว่าการเสียชีวิตจากการรักษาทางการแพทย์
==พญ.ปี้หลิวอิง // แผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู รพ.ไทจง กระทรวงสาธารณสุขฯ ไต้หวัน==
หากผู้ป่วยรายยังมีสติสัมปชัญญะ
แต่เพราะโรคนี้ไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด
และต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ในต่างประเทศพวกเขาอาจสามารถยื่นคำร้องขอการุณยฆาตได้
แต่เนื่องจากในไต้หวันไม่สามารถทำได้ ดังนั้นแล้ว
การเลือกการอดอาหารด้วยตนเอง
จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
==สือฉงเหลียง // รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารญสุขฯ ไต้หวัน==
การอดอาหารเพื่อการเสียชีวิตอย่างสงบ ตอนนี้ไม่ได้รวมอยู่ใน
มาตรฐานการดูแลแบบประคับประคองของเรา
ดังนั้นจึงต้องมีการหารือเพิ่มเติม
อดอาหารเสียชีวิตไม่ใช้วิธีรักษาทางการแพทย์ ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
กระทรวงสาธารณสุขฯ เผยว่า เราจะยังคงส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคองคุณภาพสูงสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ
