สหรัฐฯ เก็บภาษีไต้หวันเพิ่มจากเดิม หวั่นกระทบหนักทั้งภาคอุตสาหกรรม

สหรัฐฯ เรียกเก็บ ภาษีนำเข้าสินค้าจากไต้หวันแบบ "เพิ่มจากเดิม" คือ เรียกเก็บภาษีเดิม พร้อมเพิ่มภาษีใหม่อีก 20% ซึ่งสร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด สมาคมภาคธุรกิจ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไต้หวัน เร่งออกมาชี้แจงต่อสาธารณชน เนื่องจากหากไม่มีมาตรการรับมือ อาจนำไปสู่การย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ หรือเกิดกระแสว่างงานครั้งใหญ่ในประเทศ
ภาษีรวมเกิน 20% ภาคอุตสาหกรรมเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจง
ตั้งแต่เที่ยงวันของวันที่ 7 ส.ค. สินค้าจากไต้หวันถูกเก็บภาษีจากสหรัฐแล้ว ซึ่งนอกจากภาษี 20% ที่ตั้งไว้ ยังต้องบวกภาษีเดิมของสินค้าอีก ส่งผลให้ภาษีจริงอาจเกิน 20% ภาคอุตสาหกรรมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลกลางออกมาชี้แจงอย่างละเอียด
ไม่บวกภาษีเดิมถือเป็นกรณีพิเศษ การเจรจากับไต้หวันยังไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของภาษีที่เก็บเพิ่มจากเดิม นักวิชาการเผยว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ โดยผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจกล่าวว่าการไม่บวกภาษีเดิมเป็นกรณีพิเศษ มีเพียงสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นที่สามารถใช่เงื่อนไขนี้ได้ ในขณะที่ไต้หวันยังอยู่ในระหว่างเจรจา จึงไม่สามารถใช้เงื่อนไขดังกล่าวได้
==ไต้จื้อเหยียน // รองนักวิจัยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ==
จากข้อมูลของยุโรปและญี่ปุ่นที่ลงทุนในสหรัฐฯ
มีมูลค่าประมาณ 550,000 ล้านถึง 600,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ค่าตอบแทนหรือเงื่อนไขในการเจรจาให้ถึงระดับนั้น อาจมีมูลค่าสูง
หากต้นทุนดังกล่าวสูงเกินไป
สังคมไต้หวันจะยอมรับเงื่อนไขนั้นหรือไม่
นำเรื่องเข้าสภาจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม
ก็จะกลายเป็นปัญหาใหม่
สนง.เจรจาการค้าไต้หวันย้ำชี้แจงชัดเจนแล้วเมื่อเม.ย.ที่ผ่านมา
สำนักงานเจรจาการค้าระหว่างประเทศของสภาบริหารได้ออกแถลงการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 4 เมษายน ได้มีการชี้แจงอย่างชัดเจนเกี่ยวกับคำสั่งดังกล่าวที่ระบุว่า สินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะต้องเสียภาษีในอัตราเดิม พร้อมกับภาษีตอบโต้เพิ่มเติมของแต่ละประเทศ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำว่า การชี้แจงในเวลาต่อมาก็ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนแล้ว
บวกภาษีเดิมทำให้เกิดความวิตก ภาคเอกชนวอนรัฐบาลแก้ปัญหา
อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ต่อไต้หวัน โดยเพิ่มอีก 20% จากอัตราภาษีเดิม ซึ่งอาจสร้างผลกระทบต่ออุตสาหกรรมดั้งเดิม องค์กรการค้าและอุตสาหกรรมระบุว่า การบวกภาษีครั้งนี้ไม่เป็นไปตามที่ภาคธุรกิจคาดไว้ในตอนแรก จึงเรียกร้องให้รัฐบาลรักษาเสถียรภาพของตลาด หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะมีการย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศเป็นวงกว้าง พร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลช่วยภาคอุตสาหกรรมวางแผนล่วงหน้าเพื่อรับมือ