โครงการดูแลระยะยาว 3.0 แบ่งดำเนินการ 3 ระยะ 7.3 แสนคนได้อานิสงส์

ไต้หวันกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้ความต้องการบริการดูแลผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างมาก กระทรวงสาธารณะสุขฯ จึงประกาศโครงการดูแลระยะยาว 3.0 และจะเริ่มทยอยดำเนินการเป็น 3 ช่วง ซึ่งโครงการนี้จะมีผู้ได้รับอานิสงส์กว่า 700,000 คน โดยในระยะแรกจะเริ่มตั้งแต่เดือนก.ย.นี้ นอกจากนี้จะมีการขยายสิทธิ์ให้ครอบครัวที่จ้างผู้ดูแลชาวต่างชาติ รวมถึงการดูแลผู้สูงวัยรายวันในชุมชน และการบริการดูแลตามบ้านด้วยเช่นกัน
ก.ย. เป็นต้นไปจ้างผู้อนุบาลต่างชาติ ใช้บริการ Day-care ได้
ไต้หวันก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ซึ่งตอนนี้มีประมาณ 200,000 ครัวเรือนที่จ้างผู้อนุบาลชาวต่างชาติ จากเดิมที่ไม่สามารถใช้บริการ Day-care หรือบริการ Adult foster care ได้ แต่ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป ผู้ที่ต้องได้รับการดูแลระยะยาวเหล่านี้เพียงแค่ผ่านการประเมิน ก็จะมีโอกาสใช้บริการได้ โดยหวังว่าการดูแลแบบหนึ่งต่อหลายชุมชนจะช่วยบรรเทาความพิการและสภาวะสมองเสื่อมได้
==เฉินจิ่งหนิง //เลขาธิการสมาคม TAFC (Taiwan Association of Family Caregives)==
ผู้สูงอายุสามารถออกจากบ้านได้
แล้วถ้าสามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
ที่จริงแล้วช่วยชะลออาการสมองเสื่อมได้
กับเรื่องสุขภาพจิตของเขา ฯลฯ ก็ช่วยได้อย่างมาก
โครงการดูแลระยะยาว 3.0 ขยายพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายในการดูแล
กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันประกาศว่า โครงการดูแลระยะยาว 3.0 จะแบ่งการดำเนินการเป็นสามระยะ โดยนอกจากการขยายบริการดูแลที่เริ่มในเดือนกันยายนปีนี้แล้ว ตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป ก็จะขยายกลุ่มผู้รับบริการให้ครอบคลุมถึงผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมและผู้ทุพพลภาพที่อายุต่ำกว่า 50 ปี รวมถึงผู้ที่อยู่ในโครงการ PAC ดูแลแบบบูรณาการระยะหลังภาวะวิกฤติด้วย สำหรับการดำเนินงานระยะที่ 3 จะเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีหน้าเป็นต้นไป โดยทุกสามปีจะมีการจัดสรรงบประมาณรายละ 60,000 เหรียญไต้หวัน ให้แก่ผู้ทุพพลภาพ เพื่อใช้ในการเช่าอุปกรณ์เทคโนโลยีอัจฉริยะ
ขยายบริการรับ-ส่งในชุมชน ปรับปรุงบริการช่วยเหลือผู้ดูแล
นอกจากนี้ ก็จะมีการขยายบริการรับ-ส่งในชุมชน, เพิ่มเงินอุดหนุนการดูแลด้านโภชนาการ และปรับปรุงบริการพักผ่อนสำหรับผู้ดูแลที่บ้านให้ดียิ่งขึ้น โดยกระทรวงสาธารณสุขฯ ไต้หวัน ย้ำว่า เมื่อระบบการดูแลระยะยาวใหม่เริ่มใช้ในปีหน้า คาดว่าจากตอนนี้ที่มีจำนวนประชากรผู้ทุพพลภาพประมาณ 720,000 คน ก็น่าจะครอบคลุมเพิ่มขึ้นอีก 6,000 กว่าคน ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ได้รับอานิสงส์อยู่ที่ประมาณ 730,000 คน