พรรคก้าวไกลสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 พรรคก้าวไกลได้เสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นโยบายดังกล่าวได้รับการสนุนสนุนจากคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก จนทำให้พรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้ง ส.ส. มากที่สุดในสภา อย่างไรก็ตามนโยบายนี้กลับทำให้พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหาว่าล้มล้างการปกครอง เมื่อวานนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ถอนร่างแก้ไข กม. ของตนในสภาฯ แต่ยังไม่มีคำสั่งให้ยุบพรรคแต่อย่างใด
ศาลมีคำสั่งถอนคำร้องแก้ไขกฎหมายแต่ไม่ได้พิจารณายุบพรรค
พรรคก้าวไกลเสนอนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จนถูกกล่าวหาว่า เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญได้รับพิจารณาคดีในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 และเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2566 ศาลรัฐธรรมนูญได้เชิญนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลคนปัจจุบัน ชี้แจงต่อศาล ซึ่งนายพิธาฯ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อว่า ตนและพรรคก้าวไกลไม่ได้ต้องการล้มล้างการปกครอง แต่การเสนอแก้ไขมาตรา 112 ก็เพื่อลดความขัดแย้งในสังคม เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2566 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน มีมติเป็นเอกฉันท์ นโยบายของพรรคก้าวไกลขัดรัฐธรรมนูญ และสั่งให้เลิกแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 อย่างไรก็ดี มิได้วินิจฉัยให้ยุบพรรคก่าวไกลแต่อย่างใด ซึ่งในช่วงเช้า นายพฺิธาฯ ได้กล่าวก่อนเข้าประชุมสภาฯว่า รอคำตัดสินของศาล
การแก้ไขกฎหมายในการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วได้รับการสนับสนุนจากผู้มีสิทธิลงคะแนนรุ่นใหม่
ในช่วงไม่หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีมีผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างน้อย 260 รายหลังการเคลื่อนไหวของนักศึกษาในปี พ.ศ. 2563 รัฐบาลได้อ้างถึงกฎหมายฉบับนี้และจับกุมผู้เห็นต่างทางการเมืองได้จำนวนมาก พรรคก้าวไกลเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี พ.ศ.2566 ซึ่งได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างมากจากผู้ลงคะแนนเสียงรุ่นใหม่
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้กฎหมายถือเป็นการละเมิดกฎหมาย
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแห่งประเทศไทยมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งให้สมาชิกพรรคก้าวไกลยุติการกระทำ การแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน สื่อสิ่งพิมพ์ หรือการโฆษณาชวนเชื่อ นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นว่าสมาชิกพรรคจำนวนมากรณรงค์ให้แก้มาตรา 112 ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมาย “หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ”