กระแสการปลดพนักงานยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ล่าสุดมีรายงานว่า ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เตรียมปลดพนักงาน 6,000 คน ขณะที่ เบอร์เบอรี่ (Burberry) แบรนด์เนมหรูจากอังกฤษ ก็เตรียมลดพนักงานทั่วโลกลง หนึ่งในห้าของตำแหน่งงานทั้งหมด ด้าน นิสสัน (Nissan) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งปีที่แล้วเผชิญการขาดทุนหนักที่สุดในรอบ 25 ปี ก็ได้ตัดสินใจปลดพนักงานเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 คนทั่วโลก
ขาดทุนหนักสุดในรอบ 25 ปี Nissan เตรียมปลดพนักงาน 2 หมื่นคน
หลังจากดีลควบรวมกิจการกับ Honda ล่ม และเผชิญกับวิกฤตในการดำเนินธุรกิจ Nissan ได้ประกาศผลประกอบการปี 2567 เมื่อวันอังคาร (13 พ.ค.) ที่ผ่านมา โดยมีผลขาดทุนสุทธิกว่า 6.7 แสนล้านเยน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 25 ปี เพื่อความอยู่รอด Nissan จึงประกาศขยายแผนการปลดพนักงานเพิ่มอีก 20,000 คนภายใน 3 ปีข้างหน้า คิดเป็นประมาณ 15% ของพนักงานทั่วโลก พร้อมกับปิดโรงงาน 7 แห่ง และลดกำลังการผลิตรถยนต์ต่อปีจาก 3.5 ล้านคัน เหลือ 2.5 ล้านคัน
ภาษีนำเข้าจากสหรัฐเป็นปัจจัยเสี่ยง Nissan คาดขาดทุนกว่า 2 แสนล้านเยน
นอกจากปัญหาภายในองค์กรแล้ว Nissan ยังยอมรับว่า นโยบายภาษีสหรัฐฯ ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ทางการเงิน โดยคาดว่าผลกระทบอาจสูงถึง 4.5 แสนล้านเยน และอาจขาดทุนในการดำเนินงานอีกกว่า 2 แสนล้านเยนในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ยอดขายสินค้าหรูตกต่ำ Burberry ปลดพนักงาน 1,700 คน
นอกจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เผชิญกับวิกฤต ตลาดสินค้าหรูก็ซบเซาเช่นกัน แบรนด์อังกฤษอย่าง Burberry รายงานผลประกอบการล่าสุดแม้จะดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่รายได้รวมเมื่อเทียบปีต่อปีกลับลดลง 17% โดยเฉพาะในตลาดเอเชียแปซิฟิกและอเมริกา Burberry จึงตัดสินใจปลดพนักงาน 1,700 คน หรือประมาณ 20% ของจำนวนพนักงานทั่วโลก เพื่อผลักดันการปรับโครงสร้างองค์กร
ปรับโครงสร้างองค์กร Microsoft ปลดพนักงาน 6 พัน คน มุ่งเน้นพัฒนา AI
ด้าน Microsoft ซึ่งได้ลงทุนมหาศาลในศูนย์ข้อมูลสำหรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็มีรายงานว่าเตรียมปลดพนักงานทั่วโลก 6,000 คน อย่างไรก็ตาม Microsoft ระบุว่าการปรับลดครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อลดระดับชั้นของฝ่ายบริหารระดับกลาง และควบคุมต้นทุนแรงงาน ไม่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ทั้งนี้ Microsoft ทำกำไรเกินความคาดหมายของวอลล์สตรีทถึง 4 ไตรมาสติดต่อกัน และราคาหุ้นก็ใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ยังเลือกที่จะลดขนาดองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตในอนาคต