ประชุม คกก.พิจารณารายได้ขั้นต่ำ 26 ก.ย. รง.เรียกร้องปรับขึ้น 4%

ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ประชาชนโอดเงินในกระเป๋าหด คณะกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำ มีกำหนดประชุมในวันที่ 26 กันยายนนี้ กลุ่มแรงงานจึงได้ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 4% หรืออย่างน้อย 3% ขณะที่ ปัจจัยด้านภาษีศุลกากรสหรัฐฯ และภาระต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นของภาคธุรกิจ อาจส่งผลต่อการพิจารณาในครั้งนี้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ยังเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายจับตา

ค่าครองชีพปรับขึ้น แม่บ้านต้องดีดลูกคิดรางแก้ว รัดเข็มขัด

เมื่อเดินเข้าไปในตลาดสดในกรุงไทเป ก็จะสังเกตเห็นบรรดาแม่บ้านหิ้วถุงน้อยใหญ่เต็มสองมือ ตระกร้ารถจักรยานก็บรรทุกข้าวของจนล้น แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปนั่นก็คือ เงินที่มีอยู่หมดไปอย่างรวดเร็ว ปริมาณของที่ซื้อได้ก็ลดลงจากเมื่อก่อนด้วย

==นางไล่//ชาวไทเป==
เมื่อก่อนเงิน 1,000 เหรียญไต้หวัน
เหมือนจะซื้อของได้หลายอย่าง
ตอนนี้ออกจากบ้านที ก็ต้องพกมากกว่า 3,000 ขึ้นไป

คาด CPI ปีนี้ ราว 1.76% อาหารปรับขึ้น 3.69%

สำนักงานสถิติและบัญชีกลางไต้หวันประกาศว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 1.76% คาดว่า GDP อาจเติบโตประมาณ 4.45% โดยราคาอาหารเพิ่มขึ้น 3.69% ซึ่งจะทำให้ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยลำบากมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำจะมีขึ้นในวันที่ 26 กันยายน (2568) ท่ามกลางการจับตามองจากประชาชนว่าจะมีการปรับขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ ขณะที่กลุ่มแรงงานก็มีแผนนัดรวมตัวหน้ากระทรวงแรงงานเรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 4% เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

==จงฟู่จี// ปธ.สหภาพแรงงานภาคการเงิน==
เงินเดือนเฉลี่ยของเกาหลีใต้ในปีนี้
อยู่ที่ 45,900 เหรียญไต้หวันต่อเดือน
และอัตราค่าแรงรายชั่วโมงอยู่ที่ 220 เหรียญไต้หวัน

กลุ่มแรงงานชี้ ควรปรับเป็น 29,734/เดือน และ 198/ชั่วโมง

กลุ่มแรงงานเผยว่า หากปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 4% เงินเดือนขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้น 1,144 เหรียญไต้หวัน เป็น 29,734 เหรียญไต้หวัน และค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงจะอยู่ที่ 198 เหรียญไต้หวัน ซึ่งจะเพียงพอต่อความจำเป็นพื้นฐานของแรงงานระดับล่าง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์ระหว่างประเทศยังไม่คงที่ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษีเพิ่มเติมของสหรัฐฯ รวมถึงต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น หากปรับค่าจ้างขึ้นสูงเกินไป อาจกระทบต่อความสามารถในการแบกรับภาระของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ