กระทรวงแรงงานของไต้หวันเตรียมประกาศตัวเลขคนหยุดงานไม่ได้รับเงินเดือนประจำเดือนกรกฏาคม โดยผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า เนื่องจากได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ทำให้ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา มีจำนวนคนหยุดงานไม่ได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทะลุหลักพันแล้ว แม้รัฐบาลจะเร่งการเจรจา แต่ตัวเลขในเดือนกรกฎาคมก็น่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ผลกระทบภาษีของทรัมป์ ทำคนหยุดงานไม่ได้รับเงินเดือนเพิ่ม
มาตรการชะลอการจัดเก็บภาษี 90 วัน กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ แม้ผู้แทนรัฐบาลไต้หวันจะพยายามเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง แต่จากสถิติมาตรการลดเวลาทำงานและการหยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือนของกระทรวงแรงงานไต้หวันในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา พบว่าตัวเลขตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา สะท้อนให้เห็นว่าการหยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
==หลี่เจี้ยนหง//รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานไต้หวัน==
จริงๆ แล้วตอนนี้ แรงงานไม่ได้ลาหยุดไปพักผ่อนนะ
แต่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างถูกบีบบังคับ
ต้องจำใจลดชั่วโมงทำงานลง
จนถึงกลาง มิ.ย. พนง. จาก 38 บริษัท หยุดงานไม่ได้รับเงินเดือน
จากสถิติล่าสุด จนถึงกลางเดือนมิถุนายน มีสถานประกอบการทั้งหมด 38 แห่ง จำนวนพนักงานเกือบ 1,200 คน ที่ดำเนินมาตรการลดเวลาทำงานและการหยุดงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน ภาคธุรกิจมองว่า อุตสาหกรรมการผลิตและสิ่งทอได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน ขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลบางแห่งเริ่มระงับการส่งสินค้าชั่วคราว โดยมีสาเหตุมาจากความไม่แน่นอนของการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนยังส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำรงอยู่ของภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
==ไต้กั๋วหรง//ประธาน Taiwan Confederation of Trade Unions (TCTU)==
เราต้องใช้ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ล่าสุด
มาเป็นหลักในการกำหนดอัตรา
การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของปีหน้า
ห่วงหยุดงานไม่ได้รับเงินเดือน หวังรัฐกับภาคต่างๆ ร่วมหาทางออก
กลุ่มแรงงานกังวลว่า หากบริษัทไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามา แรงงานจะต้องหยุดงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง โดยเห็นว่าเมื่อการเจรจากับสหรัฐฯ มีข้อสรุปที่ชัดเจนแล้ว รัฐบาลกับนายจ้าง แรงงาน และนักวิชาการ ควรหารือมาตรการรับมือที่เหมาะสมร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมองว่าการประชุมพิจารณาเรื่องค่าแรงขั้นต่ำของกระทรวงแรงงานที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 กรกฎาคมนี้ ควรใช้ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มาเป็นตัวกำหนดอัตราการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของปีหน้า