มาเลเซียเตรียมนำทัพอาเซียนเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ

แม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีใหม่ออกไป 90 วัน แต่สถานการณ์ในอนาคตยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเตรียมพร้อมรับมือ โดยในปีนี้มาเลเซียซึ่งเป็นประธานในกลุ่มอาเซียนได้ประกาศว่าจะเป็นผู้นำในการผลักดันความร่วมมือของภูมิภาคเพื่อเจรจาในนามอาเซียน

หากภาษีใหม่มีผลบังคับใช้ อาเซียนอาจกระทบหนัก

สงครามภาษีจากสหรัฐฯ ทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดย 4 ใน 10 ประเทศที่มีการปรับขึ้นภาษีสูงสุดมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม ลาว และเมียนมา ส่วนประเทศไทยถูกเรียกเก็บในอัตรา 36%

มาเลเซียนำอาเซียนเจรจาสหรัฐฯ เสริมอำนาจต่อรอง

มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนของปีนี้ จะเป็นผู้นำในการเจรจากับสหรัฐฯ หวังอาเซียนรวมพลังเสริมอำนาจในการต่อรอง

==อันวาร์ อิบราฮิม // นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย==
มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน
จะยังคงพยายามประสานความร่วมมือต่อไป
เพื่อแสดงจุดยืนถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของภูมิภาค

คอลัมนิสต์:อัตราภาษีขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเจรจาของแต่ละประเทศ

นักวิจารณ์มองว่า ภาษีที่สูงของทรัมป์เป็นการบีบให้ประเทศต่างๆ กลับมาที่โต๊ะเจรจา โดยอัตราภาษีท้ายที่สุดจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การเจรจาของแต่ละประเทศ

==เติ้งซื่อเสวี่ยน//คอลัมนิสต์มาเลเซีย==
แม้ในระยะสั้น
เรายังจำเป็นต้องพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
แต่ถ้ามองในระยะยาว
แต่ละประเทศจะไปหาตลาดที่มั่นคงมากกว่า
หากจีนสามารถแสดงถึง
ความเป็นผู้นำในความร่วมมือทางภูมิภาค
ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อาจพิจารณาใกล้ชิดกับจีนมากขึ้น

==หลิวหย่วนซาน//ผู้สื่อข่าวต่างประเทศ PTS==
ผู้จำหน่ายอิเล็กทรอนิกส์ในมาเลเซียกังวลว่า
อาจต้องเผชิญกับฝันร้ายเรื่อง "สินค้าค้างสต็อก" อีกในอนาคต
ขณะที่ผู้ประกอบการไต้หวันกำลังจับตาดูว่า
ในอนาคตพวกเขาต้องเผชิญกับสงครามราคาที่รุนแรงมากขึ้นอีกหรือไม่

==สวี่ส้างจื้อ//ประธานสมาคมธุรกิจไต้หวันในปีนัง==
จริงๆแล้วสงครามภาษีไม่ได้เพิ่งเริ่มวันนี้
สินค้าจากจีนทุ่มตลาดด้วยราคาที่ต่ำกว่าเข้ามาในมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง
หรือบางครั้งก็ใช้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นช่องทางในการส่งต่อสินค้า
จริง ๆ แล้วผลกระทบจากราคาสินค้าเหล่านี้
ได้ทำลายราคาตลาดท้องถิ่นของเรามานานแล้ว

จากกลยุทธ์ "จีน+1" สู่การกระจายความเสี่ยงทั่วโลก

ในอดีตอาเซียนอาจเคยเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากกลยุทธ์ "จีน+1" (ซึ่งหมายถึงการเลือกจีนเป็นฐานผลิตหลักและเพิ่มอีกหนึ่งประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน) แต่ตอนนี้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่การกระจายความเสี่ยงหลากหลายยิ่งขึ้น

==เหลียนฮุ่ยฮุ่ย // ศ.กิตติมศักดิ์ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.วิทยาศาสตร์แห่งมาเลเซีย(USM)==
ทุกร้านต้องมีการกระจายห่วงโซ่อุปทาน
ไม่ใช่จำกัดแค่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อาจจะเป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้+1
แล้วหาที่อื่นมาเพิ่ม อาจเป็น แอฟริกา+1
หรืออาหรับ+1
อย่างน้อยจะได้ไม่เสียหายขนาดนี้

ยุคแห่งกลยุทธ์หลายมิติ บทบาทอาเซียนกำลังถูกนิยามใหม่

จากผู้รับประโยชน์สู่แนวหน้าในสงครามภาษี บทบาทของอาเซียนในห่วงโซ่อุปทานโลกกำลังถูกนิยามใหม่